AI เครื่องมือใหม่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ช่วยลดผลกระทบและเสริมความแกร่งให้โครงสร้างพื้นฐานของเมืองจากภัยพิบัติ

ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว พายุ ไฟป่า หรือน้ำท่วม ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานของเมืองและชุมชน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง ตามรายงาน AI for Infrastructure Resilience ของ Deloitte หนึ่งในเครือข่ายบริษัทที่ปรึกษาและตรวจสอบบัญชีระดับโลก พบว่ามีเพียง 25% ของความเสียหายจากภัยพิบัติเท่านั้นที่ได้รับการประกันภัย นั่นหมายความว่าอีกกว่า 75% ของความสูญเสีย หน่วยงานภาครัฐหรือท้องถิ่นจะต้องรับภาระโดยตรง
เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ หลายประเทศเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ในการลดความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานของเมืองจากภัยพิบัติ ตั้งแต่การวางแผนและเตรียมการรับมือภัยพิบัติ การออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การตรวจสอบ บำรุงรักษา และติดตามความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ รวมถึงการจัดการงบประมาณและจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแนวทางการประยุกต์ใช้ AI ช่วยลดผลกระทบและเสริมความแกร่งให้โครงสร้างพื้นฐานของเมืองจากภัยพิบัติในแต่ละประเภท มีตัวอย่างที่น่าสนใจดังนี้
1. พายุ
พายุ หนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานของเมืองสูงมาก ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีหน้าที่ดูแลโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ไม่สามารถรับมือกับพายุโดยอาศัยเพียงอาศัยข้อมูลสภาพอากาศทั่วไปเท่านั้น แต่ต้องใช้ข้อมูลเชิงลึก เพื่อคาดการณ์และเตรียมพร้อมล่วงหน้าอย่างแม่นยำ
AI และเทคโนโลยี Digital Twin (ฝาแฝดดิจิทัล) สามารถสร้างแบบจำลองเมืองเสมือนจริงที่เชื่อมโยงกับข้อมูลจากสภาพแวดล้อมจริง ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ข้อมูลจากการจำลองเมืองแบบ Digital Twin มาบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานของเมืองในมิติต่าง ๆ ได้แก่
- คาดการณ์เส้นทางและความรุนแรงของพายุเฉพาะพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ
- จำลองผลกระทบจากพายุ ทั้งต่ออาคาร ถนน หรือระบบสาธารณูปโภค เพื่อคาดการณ์พื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ
- วางแผนปรับปรุงหรือเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อป้องกันพายุ เช่น การยกระดับเสาไฟ สร้างระบบระบายน้ำหรือแนวป้องกันลมแรง
- บำรุงและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานที่ชำรุดจากพายุได้ตรงจุด
2. น้ำท่วม
น้ำท่วม ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อย การป้องกันและบริหารจัดการน้ำท่วมจึงเป็นภารกิจสำคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ต้องคาดการณ์ วางแผน และตัดสินใจอย่างทันท่วงที
AI และเทคโนโลยี Digital Twin สามารถสร้างเมืองจำลองสถานการณ์น้ำท่วมในระดับพื้นที่ได้อย่างละเอียด โดยมักจะอาศัยข้อมูลจากหลายแหล่งมาประมวลผลด้วย AI ให้เกิดเป็นแบบจำลองน้ำท่วมแบบเรียลไทม์และในอนาคต ช่วยให้ผู้บริหารเมืองเห็นภาพรวมของสถานการณ์ได้ทันที พร้อมคาดการณ์เส้นทางการไหลของน้ำ จุดเสี่ยง หรือพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังใช้ในการออกแบบผังเมืองใหม่ ให้มีความทนทานต่อน้ำท่วมได้ด้วย เช่น การกำหนดแนวทางระบายน้ำ การสร้างพื้นที่รับน้ำชั่วคราว หรือการออกแบบระบบสาธารณูปโภคให้สามารถทำงานได้ต่อเนื่องแม้ในช่วงน้ำท่วม
3. แผ่นดินไหว
แผ่นดินไหว ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ยากจะคาดเดาและอาจสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานของเมืองอย่างรุนแรง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ช่วยคาดการณ์ วิเคราะห์ และวางแผนการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคโนโลยี AI ช่วยสร้างแผนที่ความเสี่ยงแผ่นดินไหวได้ โดยใช้ข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ประวัติการเกิดแผ่นดินไหวในอดีต ข้อมูลโครงสร้างชั้นดินและธรณีวิทยา ความหนาแน่นของสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ เป็นต้น ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้คาดการณ์จุดเสี่ยงภัยหรือพื้นที่ที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงได้ เพื่อนำไปสู่การกำหนดพื้นที่ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญให้อยู่ในโซนปลอดภัย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับหรือทนทานต่อแผ่นดินไหว รวมถึงการวางระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่สามารถเตรียมพร้อมรับมือได้ทันท่วงที
4. ไฟป่า
ไฟป่า ภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายรุนแรงต่อระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องหาวิธี ทั้งการป้องกันเชิงรุก และการแก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุ
เทคโนโลยี AI และ IoT (Internet of Things) สามารถประมวลผลข้อมูลจากเซนเซอร์ โดรน และภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อตรวจจับความร้อน ควัน และพฤติกรรมของไฟป่าแบบเรียลไทม์ พร้อมแจ้งเตือนทันทีเมื่อพบความผิดปกติ จึงช่วยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ไฟจะลุกลามเข้าสู่เขตชุมชนหรือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น สะพาน ถนน หรือระบบไฟฟ้า
นอกจากนี้ AI ยังสามารถวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงไฟป่า โดยอ้างอิงข้อมูลในหลายมิติ ทั้งข้อมูลพืชพรรณ ความชื้น อุณหภูมิ และทิศทางลม เพื่อวางแผนจัดการพืชพรรณและสร้างแนวกันไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
5. ภัยแล้ง
ภัยแล้ง ภัยพิบัติที่ส่งผลกระทบต่อทั้งภาคเกษตรกรรม เศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
เทคโนโลยี AI จะเข้ามาช่วยคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้า โดยนำปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณฝนย้อนหลัง ระดับน้ำ ความชื้น และสภาพอากาศ มาวิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มภัยแล้งในแต่ละพื้นที่ เพื่อจัดทำแผนสำรองน้ำและจัดสรรน้ำให้เหมาะสมกับความต้องการของชุมชน
นอกจากนี้ การใช้เซนเซอร์ IoT ยังช่วยตรวจจับการรั่วไหลของระบบประปาและจุดสูญเสียน้ำในโครงข่าย แบบเรียลไทม์ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าดำเนินการซ่อมแซมได้รวดเร็ว ลดการสูญเสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์ และลดความเสียหายทางเศรษฐกิจของพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว (Extreme Temperature)
สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อนสูงหรืออุณหภูมิต่ำกว่าปกติ ล้วนส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของเมืองอย่างคาดไม่ถึง เช่น ถนนแตกร้าว ไฟไหม้สายไฟหรือหม้อแปลงจากการทำงานหนัก อายุการทำงานของโครงสร้างพื้นฐานสั้นลง ดังนั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงควรเตรียมความพร้อมและออกแบบโครงสร้างพื้นฐานให้ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้ดียิ่งขึ้น
โดย AI จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์และคาดการณ์สภาพภูมิอากาศในระยะสั้นและระยะยาว ด้วยการประมวลผลข้อมูลจากดาวเทียม สถานีอุตุนิยมวิทยา และข้อมูลพลังงาน เพื่อตรวจจับแนวโน้มของอุณหภูมิที่อาจเพิ่มสูงหรือลดต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการเลือกใช้วัสดุและออกแบบโครงสร้างพื้นฐานให้มีความยืดหยุ่นทางโครงสร้างมากขึ้น
อีกทั้งการติดตั้งระบบเซนเซอร์ IoT เพื่อติดตามและตรวจสอบความร้อนสะสมในอาคารหรือพื้นผิวถนนแบบเรียลไทม์ ยังทำให้สามารถป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้น และซ่อมบำรุงได้ทันท่วงทีด้ว

AI ไม่เพียงช่วยคาดการณ์ภัยพิบัติได้ล่วงหน้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการออกแบบเมืองและโครงสร้างพื้นฐานให้ยืดหยุ่น และฟื้นตัวได้รวดเร็วหลังภัยพิบัติเกิดขึ้น เบดร็อค อนาไลติกส์ มองเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ในการลดผลกระทบจากภัยพิบัติ จึงพัฒนา แพลตฟอร์มบริหารจัดการภัยพิบัติ ระบบดิจิทัลที่ผสานข้อมูลจากอุปกรณ์ IoT โดรน และกล้อง CCTV เพื่อวิเคราะห์ คาดการณ์พื้นที่เสี่ยง และสนับสนุนการตัดสินใจเชิงรุกได้อย่างแม่นยำ เพื่อช่วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้บริหารจัดการภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความสูญเสียทั้งด้านทรัพย์สินและโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมยกระดับความปลอดภัยให้เมืองน่าอยู่ได้อย่างยั่งยืน หากสนใจติดต่อที่อีเมล: contact@bedrockanalytics.ai หรือ Line หรือ Facebook

ขอบคุณข้อมูล:
https://www.tomorrow.city/can-ai-tools-reduce-disaster-infrastructure-losses/